บอลยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ลีก บี กลุ่ม 2 เมื่อคืนวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ทีมชาติอังกฤษทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม บุกไปชนะ ฟินแลนด์ 3-1 หลังจากที่นัดก่อนแพ้คาบ้าน การแก้ตัวครั้งนี้ทำให้ “ทรี ไลอ้อนส์” มี 9 คะแนน ขยับขึ้นรั้งอันดับที่สองของกลุ่ม เกมถัดไปจะบุกไปเยือน กรีซ ในเดือนพฤศจิกายน
สนาม: เฮลซิงกิ โอลิมเปียสตาดิโอน
ครึ่งแรกของเกมเริ่มต้นอย่างเข้มข้น ฝั่งทีมชาติอังกฤษมีแรงจูงใจสูงที่จะเอาชนะเพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมา ในนาทีที่ 18 อังกฤษขึ้นนำก่อน 1-0 จากจังหวะที่ เทรนต์ อาร์โนลด์ เปิดบอลให้ อังเจล โกเมส แทงทะลุช่องให้ แจ็ค กรีลิช หลุดเดี่ยวเข้าไปยิงผ่านมือ ลูคัส ฮราเด็คกี้ ผู้รักษาประตูฟินแลนด์ ส่งผลให้ทีมเยือนขึ้นนำก่อน
ฟินแลนด์พยายามตอบโต้ในนาทีที่ 33 โดย โทปิ เคสโคเน่น กระชากบอลหนีแนวรับอังกฤษ ก่อนยิงบริเวณกรอบเขตโทษ แต่ ดีน เฮนเดอร์สัน เซฟเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น
นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก ราสมุส ชุลเลอร์ ไหลบอลให้ เบนยามิน คัลมันน์ ได้โอกาสยิงในกรอบเขตโทษ แต่ยังไม่ผ่านมือของ ดีน เฮนเดอร์สัน จบครึ่งแรก อังกฤษนำ 1-0
ผลบอล ครึ่งหลัง เกมยังคงดุเดือด
เกมในครึ่งหลังยังเป็นอังกฤษที่ครองเกมได้ดีกว่า ในนาทีที่ 51 ไคล์ วอล์คเกอร์ เปิดบอลเข้ามาหน้าประตู แต่ โคล พาลเมอร์ ซัดไปตรงตัว ลูคัส ฮราเด็คกี้ ที่รับไว้ได้
นาทีที่ 59 โรเบิร์ต อีวานอฟ ของฟินแลนด์ทำพลาดจ่ายบอลเสียกลางสนาม เดแคลน ไรซ์ ฉวยโอกาสยิงไกลทันที แต่บอลพุ่งตรงตัวผู้รักษาประตู ทำให้ฟินแลนด์รอดพ้นจากการเสียประตูเพิ่มเติมไปได้
อังกฤษขยับนำห่างเป็น 2-0 ในนาทีที่ 74 เมื่อ เทรนต์ อาร์โนลด์ ยิงฟรีคิกระยะไกลจากกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย บอลลอยข้ามกำแพงเข้าประตูไป ลูคัส ฮราเด็คกี้ พยายามปัดแต่ไม่ทัน ส่งผลให้ทีมเยือนทิ้งห่าง
ท้ายเกมนาทีที่ 84 อังกฤษปิดเกมได้อย่างเด็ดขาดเมื่อ โอลลี่ย์ วัตกิ้นส์ ลงมาเป็นตัวสำรอง พาบอลแหวกแนวรับฟินแลนด์ก่อนจ่ายเข้ากลางให้ เดแคลน ไรซ์ ชาร์จเข้าไป เป็นประตูที่ 3-0
ฟินแลนด์ตีไข่แตก
แม้จะตามหลังถึง 3 ประตู แต่ฟินแลนด์ไม่ยอมแพ้ ในนาทีที่ 87 เจ้าบ้านได้ประตูปลอบใจจากลูกเตะมุมฝั่งซ้าย เลโอ วัลต้า เปิดบอลให้ อาร์ตตู ฮอสโคเน่น ขึ้นโหม่งเสาแรก บอลพุ่งผ่านมือ ดีน เฮนเดอร์สัน เข้าประตูไป จบเกม อังกฤษบุกมาชนะฟินแลนด์ 3-1 เก็บ 9 คะแนน รั้งรองจ่าฝูงของกลุ่ม 2 ลีก บี ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก
รายชื่อผู้เล่น
ฟินแลนด์ (4-3-3): ลูคัส ฮราเด็คกี้, นิโคไล อัลโฮ (โอลิเวอร์ แอนมันน์ น.82), อาร์ตตู ฮอสโคเน่น, โรเบิร์ต อีวานอฟ, เยเร่ อูโรเน่น, เกล็น กามาร่า, ราสมุส ชุลเลอร์ (เลโอ วัลต้า น.63), มัตติ เพลโตล่า, เฟรดริค เยนเซ่น (โรบิน ล็อด น.75), เบนยามิน คัลมันน์ (โจเอล โปห์ยานโปโล น.63), โทปิ เคสโคเน่น (เตมู พุคคี่ น.75)
อังกฤษ (4-2-1-3): ดีน เฮนเดอร์สัน, เทรนต์ อาร์โนลด์, จอห์น สโตนส์, มาร์ค เกฮี, ไคล์ วอล์คเกอร์, เดแคลน ไรซ์ (คอนอร์ กัลลาเกอร์ น.85), อังเจล โกเมส (ริโก้ ลูอิส น.80), โคล พาลเมอร์ (โนนี มาดูเอเก้ น.69), แจ็ค กรีลิช, จู็ด เบลลิ่งแฮม (ฟิล โฟเด้น น.80), แฮร์รี่ เคน (โอลลี่ย์ วัตกิ้นส์ น.69)
สรุปการแข่งขัน
ชัยชนะในเกมนี้ช่วยให้อังกฤษกลับมาอยู่ในเส้นทางการลุ้นเข้ารอบ โดยเพิ่มเป็น 9 คะแนน อยู่อันดับสองในกลุ่ม 2 ลีก บี แม้จะต้องเจอกับความท้าทายในเกมถัดไปกับทีมชาติกรีซ แต่ชัยชนะในครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและคุณภาพของลูกทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่พร้อมจะสู้ต่อในยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก จนถึงนัดสุดท้าย
